วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หาดนางรำ


หาดนางรำ อยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยว บรรยากาศ ชายทะเลที่สวยงาม มีชายหาดทรายละเอียด และน้ำทะเลใสสะอาดแห่งหนึ่งของทหารเรือ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้มาสัมผัส นอกจาก ทัศนียภาพที่สวยงามแล้ว หาดนางรำยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สโมสรบริการอาหาร เครื่องดื่ม โดย เฉพาะอาหารทะเลสด ๆ รสชาติเยี่ยม ราคาเป็นกันเอง อาคารพักรับรอง ทั้งห้องปรับอากาศ และธรรมดา และพื้นที่สำหรับผู้ที่ชอบ บรรยากาศกางเต็นท์เป็นหมู่คณะ และส่วนตัว หาดนางรำ นั้นมีความยาวตลอดชายฝั่งประมาณ 200 เมตร สุดปลายชายหาดคือ แหลมปู่เจ้าอันเป็นที่ประดิษฐาน ของ ศาลเจ้าพ่อกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์
หาดนางรำ
เดิมชายหาดแห่งนี้ ไม่มีชื่อเรียกขานแต่อย่างใด แต่เหตุที่มีชื่อเรียกว่า "หาดนางรำ" นั้น ตามตำนานเรื่องเล่าที่ชาวบ้านได้บอกต่อๆ กันมานั้นกล่าวว่า หาดนางรำแท้จริงแล้วเป็นชื่อ ที่เรียกกันตามชื่อเกาะแห่งนี้เดิมที่ไม่มีชื่อเรียก เป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอาศัย อยู่และ ไม่มีใครนิยมเดินทางไปเที่ยวชมมากนัก จะมีบ้างก็เพียงแค่ไปนั่งชมวิวทิวทัศน์รอบ ๆ เกาะ หรือไม่ก็ไปนั่งตกปลาเท่านั้น อยู่มา วันหนึ่งก็มีเสียงดนตรีมโหรีดังกึกก้องมาจากเกาะแห่งนี้ คล้ายเสียงดนตรีที่ใช้ประกอบในการร่ายรำ จากนั้นวันดีคืนดีก็มีเสียงดนตรี เช่นนี้ดังมาจากเกาะนี้อีก ชาวบ้านจึงเรียกเกาะแห่งนี้ว่า "เกาะนางรำ"และเรียก ชายหาดฝั่งตรงข้ามว่า "หาดนางรำ" เรื่อยมา จนตราบเท่าทุกวันนี้
อ้างอิง

ขนมเค้ก

เค้ก (อังกฤษcake) เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มักจะมีลักษณะหวานและผ่านกระบวนการอบ ซึ่งจะทำมาจากแป้ง, น้ำตาล และส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ไข่, แป้งสาลี, ผัก, ผลไม้ที่ให้รสหวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น หรือส่วนประกอบที่มีไขมัน เช่น เนยชีส, ยีสต์, นมเนยเทียม เป็นต้น และนิยมรับประทานเป็นของหวาน และฉลองในเทศกาลต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดและวันแต่งงาน ซึ่งในโลกมีตำรับหรือสูตรการทำเค้กเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตำรับการทำเค้กบางสูตรก็มีการสืบทอดการทำเป็นเวลาหลายศตวรรษ และเค้กนั้นยังเป็นอาหารหวานที่นิยมไปทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้สนใจที่อยากจะเรียนทำเค้กเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ มากมาย อย่างเช่น เรียนเพื่อที่จะนำมาประกอบอาชีพเปิดร้านเค้ก เป็นต้น

ชนิดของเค้ก

เค้กปอนด์แบบชั้นแทรกด้วยแยมราสเบอร์รีและผิวมะนาวขูด แต่งหน้าด้วยครีมเนย
เค้กแบ่งได้เป็นหลายประเภท ดังนี้ [1]
  • เค้กเนย (butter cake) ส่วนผสมหลักที่ทำให้ขึ้นฟูคือเนย โดยจะตีเนยกับน้ำตาลให้เป็นครีมฟูก่อน จึงเติมไข่ นม และแป้ง แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น เค้กชั้น ฟรุตเค้ก และเค้กปอนด์ ซึ่งหมายถึง เค้กที่ทำจากแป้งสาลีหนึ่งปอนด์ น้ำตาลหนึ่งปอนด์และ เนยหนึ่งปอนด์
  • เค้กไข่ (foam cake) เป็นเค้กที่ขึ้นฟูโดยตีฟองอากาศเข้าไปในไข่ แบ่งย่อยเป็น 3 ชนิดคือ
    • ชิฟฟอนเค้ก (chiffon cake) ชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้ก ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการบริโภคเค้กที่มีไขมันไม่มาก และรสชาติที่ไม่เลี่ยนจนเกินไปและด้วยเอกลักษณ์ประจำตัว นั่นก็คือความนุ่มละมุนละไมอีกทั้งสามารถดัดแปลงรสชาติได้มากและหลากหลาย ทั้งยังขายง่ายต้นทุนต่ำได้กำไรสูง จึงทำให้มีผู้สนใจในการประกอบกิจการเพื่อผลิตและจำหน่ายชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้กเป็นจำนวนมาก
    • เค้กไข่ขาว (angle food cake) ใช้ไข่ขาวล้วน ไม่ใส่ไข่แดงและไขมันใดๆ แต่ใส่น้ำตาลมาก
    • สปันจ์เค้ก (sponge cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ทั้งฟองกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
  • มูสเค้ก (Mousse cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ขาวหรือวิปปิ้งครีมให้ฟูก่อนจะผสมกับส่วนผสมอื่น ทำให้เค้กนุ่ม เบา มักใส่เจลาตินเพื่อช่วยให้คงรูป และต้องแช่เย็นไว้จนกว่าจะรับประทาน
  • ชีสเค้ก (cheesecake) เป็นเค้กที่มีครีมชีสเป็นองค์ประกอบหลัก มีทั้งแบบอบ และแบบไม่อบแต่ใสเจลาตินเป็นตัวช่วยให้คงรูปร่าง ต้องแช่เย็นเช่นกัน
อ้างอิง

อาหารภาคอีสาน


 
     ภาคอีสานอาจจะร่ำรวยเรื่องอารยะธรรม วัฒนธรรมซึ่งสั่งสมกันมานานนับหลายพันปี อาหารอีสาน เป็นอาหาอีกประเภทหนึ่งซึ่งกล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงและรสชาติที่ล้ำลึก และอาจกล่าวได้ว่าเป็นอาหาร ที่ฮิตติดปากคนไทยมากที่สุด และสามารถรับประทานได้ทุกเวลาทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ลาบ ซกเล็ก ต้มแซบ เสือร้องไห้ เนื้อแดดเดียว ตลอดจนอาหารสำรับประเภทที่เรียก กันว่า ข้างพาแลง อันมีปลานึ่ง ผักต้ม และน้ำพริกแจ่วเป็นอาหารหลักสำคัญที่ทำให้อาหารทั้งภภูมิภาค นี้มีชื่อเสียงติดใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาหารภาคอีสาน  (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)   มีรสชาติเด่น  คือ  รสเค็มจากน้ำปลาร้า รสเผ็ดจากพริกสด พริกแห้ง รสเปรี้ยวจาก ผักพื้นบ้าน เช่น มะขาม  มะกอก อาหารส่วนใหญ่มีลักษณะแห้ง ข้น มีน้ำขลุกขลิก แต่ไม่ชอบ  ใส่กะทิ   คนอีสานใช้ปลาร้าเป็นเครื่องปรุงอาหารแทบทุกชนิด  เช่น ซุปหน่อไม้  อ่อม  หมก  น้ำพริกต่างๆ  รวมทั้งส้มตำ
        อาหารอีสานที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ปลาร้าบ้อง อุดมด้วยพืชสมุนไพร เช่น  ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด มะขามเปียก หรืออย่างแกงอ่อม ที่เน้นการใช้ผักหลายชนิดตามฤดูกาลเป็นหลัก รสชาติของแกงอ่อมจึงออกรสหวาน ของผักต่างๆ รสเผ็ดของพริก กลิ่นหอมของเครื่องเทศและผักชีลาวหรืออย่างต้มแซบ ที่มีน้ำแกงอันอุดมด้วยรสชาติและกลิ่นหอมของเครื่องเทศและผักสมุนไพรเช่นกัน
      อีสาน.... เป็นดินแดนที่แห้งแล้งกันดารที่สุดของประเทศไทย  บทเพลงของดินแดนอีสานจึงมักบรรยายถึงความทุกข์ยากแสนเข็ญ  นาแล้ง ข้าวกล้าเก็บเกี่ยวได้ไม่พอกิน หลาย ๆ ครอบครัวจึงต้องทิ้งเมีย  ทิ้งลูก มุ่งหน้ามาเป็นกรรมกรขายแรงงานในเมือง
     แม้ว่าอีสานจะอดอยากเพียงไร  ชาวบ้านก็ต้องดิ้นรนหาอาหาร เพื่อดำรงชีวิตกันต่อไป  อาหารพื้นเมืองของชาวบ้านแถบอีสานจึงมีอาหารพวกแมลงหลายชนิด  ไม่ว่าจะเป็น จิ้งหรีด มดแดง  ตั๊กแตน  จักจั่น  ดักแด้  แมงกุดจี่  แมงกินูน  ฯลฯ  แม้ว่าหลาย ๆ คนได้ยินแล้ว เกิดความรู้สึกแตกต่างกับไป  แต่แมลงเหล่านี้คือแหล่งโปรตีนที่หล่อเลี้ยงชีวิตเด็กๆชาวอีสานให้เติบโตขึ้นมาได้ อาหารอีสานนอกจากจะมีแมลงแล้ว  ยังใช้เนื้อสัตว์ที่หาได้ในท้องถิ่นเป็นส่วนประกอบของอาหาร  เช่น  ปลา  ซึ่งจะรับประทานตั้งแต่เป็นลูกปลาเรียกว่า  ปลาลูกครอก ( ลูกปลาช่อน )  จนปลาตัวโต  กบ ก็เช่นเดียวกันรับประทานตั้งแต่ลูกกบ ซึ่งเรียกว่า  ฮวก  คือ ลูกอ๊อดที่กำลังจะกลายเป็นกบ เริ่มมีขา แต่ก็ยังมีหาง ทางอีสานเรียกว่า ฮวก  กุ้งฝอย  อึ่งอ่าง  ปูนา  หอยโข่ง  หอยขม  สัตว์อื่น ๆ เท่าที่หาได้  เช่น  กระต่าย  หนูนา  แย้  กิ้งก่า  งู  จนกระทั่งนกต่าง ๆ ไก่ เป็ด หมู เนื้อ บ้าง
     คนอีสานจะรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก  และโดยทั่วไปจะนึ่งข้าวเหนียวด้วยหวด    คนอีสานจะต้องแช่ข้าวเหนียวดิบกับน้ำพอท่วมไว้ตอนกลางคืน  พอรุ่งเช้าจะนำหม้อทรงกระบอกใส่น้ำตั้งไฟ  กะให้น้ำอยู่ต่ำกว่ากัน หวด  พอน้ำเดือด  จะสงข้าวเหนียวไว้  ไอน้ำที่พุ่งขึ้นมาจะทำให้ข้าวเหนียวสุก  และมีกลิ่นหอมของไม้ไผ่ติดมาด้วย  พอข้าวเหนียวสุก  ใช้ไม้พายกลับข้าวเหนียวข้างล่างขึ้นมาด้านบน  แล้วปิดฝาไว้  ข้าวเหนียวก็จะสุกทั่วกัน
อ้างอิง

อาหารพื้นบ้านภาคใต้

อาหารพื้นบ้านภาคใต้ 
 
 อาหารพื้นบ้านภาคใต้มีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สืบเนื่องจากดินแดนภาคใต้ 
เคยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีต ทำให้วัฒนธรรม 
ของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซึ่งเป็นต้นตำรับในการใช้เครื่องเทศปรุงอาหารได้เข้ามา
มีอิทธิพลอย่างมาก 
 
..... ..... ..... .....
 
 อาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารอินเดียใต้ 
เช่น น้ำบูดู ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมีความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซีย 
อาหารของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้าน 
มีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้ม
จึงมีรสจัด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย

เเหล่งอ้างอิง
http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/__84.html

อาหารพื้นบ้านภาคกลาง

อาหารพื้นบ้านภาคกลาง 
  
 เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของภาคกลางเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำลำคลอง หนองบึงมากมาย 
จึงเป็นแหล่งอาหารทั้งพืชผักและสัตว์น้ำนานาชนิด พื้นที่บางส่วนติดชายฝั่งทะเลทำให้วัตถุดิบ 
ในการประกอบอาหารหลากหลายอุดมสมบูรณ์ 
 
...... 
............แกงเผ็ด .......................ขนมจีนน้ำยา.....................ห่อหมกปลา....................แกงมัสมั่นไก่
 
 อาหารภาคกลางมีความหลากหลายทั้งในการปรุง รสชาติ และการตกแต่งให้น่ารับประทาน 
สืบเนื่องจากการรับและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมจากภายนอก เช่น จีน อินเดีย ชาวตะวันตก 
อีกทั้งอาหารภาคกลางบางส่วนได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของราชสำนักอีกด้วย 
 สำรับอาหารภาคกลางมักมีน้ำพริกและัผัีกจิ้ม โดยรับประทานข้าวสวยเป็นหลัก ลักษณะอาหาร 
ที่รับประทานมักผสมผสานระหว่างภาคต่าง ๆ เช่น แกงไตปลา ปลาร้า น้ำพริกอ่อง 
 
..... ......... ...................... 
.........................................น้ำพริกกะปิ......................................น้ำพริกลงเรือ..
เเหล่งอ้างอิง

อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ

อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ
 
 ในอดีตบริเวณภาคเหนือของไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามาก่อน ช่วงที่อาณาจักร
แห่งนี้เรืองอำนาจ ได้แผ่ขยายอาณาเขตเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และมีผู้คนจากดินแดน
ต่าง ๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้ จึงได้รับวัฒนธรรมหลากหลายจากชนชาติต่าง ๆ เข้ามา
ในชีวิตประจำวันรวมทั้งอาหารการกินด้วย 
 อาหารของภาคเหนือ ประกอบด้วยข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก มีน้ำพริกชนิดต่าง ๆ เช่น
น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง มีแกงหลายชนิด เช่น แกงโฮะ แกงแค นอกจากนั้นยังมีแหนม ไส้อั่ว แคบหมู
และผักต่าง ๆ สภาพอากาศก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อาหารพื้นบ้านภาคเหนือแตกต่างจากภาคอื่น ๆ
นั่นคือ การที่อากาศหนาวเย็นเป็นเหตุผลให้อาหารส่วนใหญ่มีไขมันมาก เช่น น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล 
ไส้อั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งการที่อาศัยอยู่ในหุบเขาและบนที่สูงอยู่ใกล้กับป่า จึงนิยมนำุ์
พืชพันธุ์ในป่ามาปรุงเป็นอาหาร เช่น ผักแค บอน หยวกกล้วย ผักหวาน ทำให้เกิดอาหารพื้นบ้าน 
ชื่อต่าง ๆ เช่น แกงแค แกงหยวกกล้วย แกงบอน
 
   
.... .......ไส้อั่ว ............... .....น้ำพริกหนุ่ม.... .................... แคบหมู .......... ............. .....แกงแค
 
 อาหารพื้นบ้านภาคเหนือมีความพิเศษตรงที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมการกินจากหลายกลุ่มชน 
เช่น ไทใหญ่ จีนฮ่อ ไทลื้อ และคนพื้นเมือง
อ้างอิง
http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/__76.html

เรื่องราวตำนานของพญานาค


  เรื่องราวตำนานที่เล่าขาน
นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล

นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า

ตำนาน ความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู

เป็น สัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

ต้น กำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้าย รอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์

ตำนานพญานาค

ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก สืบค้นได้ว่า มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้ เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้ การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

นาคนี้ มักเรียกกันว่าพญานาคของพวกนาค และยังมีชื่อที่เรียกกันเป็นอย่างอื่นก็มากเช่น ภุชงค์ วาสุกิ หรือวาสุกรี นาค นาคา อนันตนาครหรือเศษนาค เป็นต้น

ตาม ความหมายที่เข้าใจกันมาว่า นาคตัวยาวๆ อย่างงู ในบาลีลิปิกรม ว่า มีหน้าเป็นคน หางเป็นงู เป็นพวกกึ่งเทวดา เมืองที่อยู่เรียกว่า บาดาล ซึ่งเข้าใจกันว่าอยู่ใต้แผ่นดินที่เราอยู่กันเดี๋ยวนี้

ตาม ตำนานอุปปาติกะว่า พญานาคนี้เป็นโอรสพระกัศยปเทพบิดร และนางกัทรุเป็นมารดา บุตรของพระทักษะประชาบดี ส่วนเมืองที่อยู่ที่เรียกว่าบาดาลนั้น ตามวิษณุปุราณะ และปัทมปุราณะว่ามีถึงเจ็ดชั้น เรียงลำดับซ้อนๆ กันลงไป คือ 1อตล มีผู้ครองชื่อมหามายะ 2. วิตล ผู้ครองชื่อหาตเกศวร 3. สุตล ผู้ครองชื่อท้าวพลี 4. ตลาตล ผู้ครองชื่อมายุ 5 มหาตล ว่าเป็นที่อยู่ของพวกนาค 6. รสาตล เป็นที่อยู่ของพวกแทตย์และทานพ 7. ปาตาล นี้แหละที่เราเรียกว่าบาดาล เป็นที่อยู่ของวาสุกรีนาคราช

ปรากฏ ตามคัมภีร์ว่า เมืองบาดาลนี้ ในชั้นสูงๆ มีความสนุกสนานปานกับเมืองสวรรค์ และก็หาใช่ว่าจะอยู่แต่นาคพวกเดียวก็หาไม่ ยังมีรพวกแทตย์และทานพ อันเป็นเหล่ากอของพระกัศยปะกับนางทิติ ได้เป็นผู้ครองอยู่ก็หลายชั้น พวกนาคแท้ๆ คงได้อยู่ในชั้นที่ 5 กับชั้นที่ 7 เท่านั้น

นาค นี้ปรากฏในที่หลายแห่งว่า ตัวยาวอย่างงู มีหงอนเป็นอันงาม แม้แต่ในปทานุกรมก็ยังแปลไว้ว่างูหงอน ในรามายณะ พญานาคเคยทำตัวเป็นบัลลังก์ให้กับพระวิษณุบรรทมอยู่ในเกษียรสมุทร ในปางมัสยาวตาร พญานาคเคยเป็นเชือกผูกเรือของท้าวสัตยพรต หรือ พระมนูไววัสวัต ไว้กับกระโดงปลาใหญ (นารายณ์) เมื่อคราวน้ำท่วมโลก
ในปางกูรมาวตาร พญานาคก็ต้องไปเป็นเชือกพันกับภูเขามันทระ สำหรับเทวดาและอสูรดึงไปดึงมาเพื่อให้ภูเขานั้นหมุนหวังผลในการทำน้ำอมฤต
ส่วน ในปางพุทธาวตาร หรือในสมัยพระสมณโคดมบรมพุทธะ ก็มีเรื่องนาคมาเกี่ยวข้องเป็นหลายคราว เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์ทรงลอยถาดทอง อันนางสุชาดาถวายพร้อมด้วยมธุปายาส ณ แม่น้ำเนรัญชรา ก็ว่า ถาดนั้นได้จมลงไปอยู่เมืองนาค พญากาลภุชคินทร์ซึ่งเป็นผู้ครอง ได้ยินเสียงถาดกระทบกันก็ตื่นนอนขึ้นครั้งหนึ่ง
และครั้งที่สองเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ไม้มุจลินท์(ไม้จิก) พญานาคชื่อมุจลินท์ก็ได้มาขดตัวเป็นแท่น แล้วเพิกพังพานบังแสงแดดบังฝนถวาย ซึ่งพระพุทธรูปปางนี้เรียกกันว่าพระนาคปรก
ครั้งที่สามต่อมาอีก ว่ากันว่ามีนาคแปลงตัวมาบวชในพระพุทธศาสนา พระท่านถามนาคที่มาขอบวชมาท่านใช่มนุษย์หรือไม่ นาคตอบว่าเรามิใช่มนุษย์ เป็นนาค แต่มาเพื่อจะขอบวชเพื่อบำเพ็ญบุญ เราจึงได้มีการบวชนาค

ใน อดีตกาลทศชาดกปางภูริทัตต์ก็ว่า องค์พระโพธิส้ตว์ของเรายังได้เคยถือกำเนิดเป็นนาคชื่อทัตตกุมาร บิดาชื่อ ธตรฐ เป็นพญานาค มารดาชื่อ สมุททชา เป็นมนุษย์ คือ เป็นธิดาท้าวพรหมทัต กรุงพาราณสี ได้ขึ้นมาบำเพ็ญศีลบนฝั่งแม่น้ำยมุนา แล้วถูกอาลัมพายน์หมองูจับเอาตัวไป

พญา นาคยังเคยเป็นสังวาลของพระอิศวร และเคยเป็นลูกศรของอินทรชิต ที่แผลงไปมัดพวกพระราม พระลักษมณ์ ทั้งหลายที่สาธกมานี้ ดูล้วนแต่ว่านาคมีตัวยาวๆ อย่างงูทั้งนั้น ในเวลาขึ้นลงก็ชำแรกแทรกดิน

คำ ว่า "นาค" ในบาลีลิปิกรม และ ปทานุกรม แปลไว้ว่า ประเสริฐ ในสมัยสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณฯ ได้เคยทรงไว้ในพระพุทธประวัติ โดยเข้าพระทัยว่านาคไม่ใช่งู และคงจะเป็นพวกที่นับถือเทวรูปนาคปรก ได้แก่ พวกชฎิลกัสสปะสามพี่น้อง บางท่านเห็นว่า นาคนี้เก่งที่สุด ถึงกับปรากฎว่าเอาสตางค์โยนลงไปในน้ำ พวกนี้สามารถที่จะว่ายและดำไปหยิบสตางค์ชูให้ดูได้ก่อนที่สตางค์จะจมลงถึง ท้องทะเล มีอยู่ในนครศรีธรรมราช ปัตตานี ที่เขาเรียกกันว่าชาวน้ำ หรือชาวเล ภาษามลายู เรียก ชะลัง

ส่วนภาพและรูปแกะสลัก รูปหล่อ รูปปั้น ที่ได้เคยเห็นมา มีทั้งเป็นงู และเป็นคน แล้วแต่เรื่องที่จะมาประกอบ

ใน พงศาวดารเขมร กล่าวว่าในราวพุธศตวรรษที่ 6 พระทองเป็นโอรสกษัตริย์เขมร ก็เคยได้แต่งงานกับพระธิดาพญานาค มีนามว่า นางทาวดี ถึงมีโอรสด้วยกัน ชื่อพระเกตุมาลา และได้สืบกษัตริย์ครองประเทศเขมรกันต่อๆ มา อีกสามราชวงศ์กษัตริย์

กระทั่งถึงสมเด็จ พระอุทัยราชก็มีมเหสีเป็นนาค คราวนี้ออกลูกครั้งแรกเป็นไข่ เอาไปทิ้ง คือฝังทรายไว้ ถึงคราวนายคงเคราซึ่งเป็นส่วยน้ำ นำน้ำในทะเลชุบศรเมืองลพบุรไปส่ง ได้พบไข่นี้ฟักเป็นคน จึงเก็บมาเลี้ยงไว้ ให้ชื่อว่านายร่วง แต่นางนาคตนนี้ออกลูกครั้งที่สอง หาตกเป็นฟองไม่ เป็นมนุษย์ทีเดียว โอรสผู้นี้ภายหลังมีนามว่าพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ได้เป็นกษัตริย์เขมรที่มีเดชานุภาพมาก

ท้าว วิรูปักษ์ เป็นมหาราชของพวกนาค เป็นโลกบาลครองทิศปัจจิม ด้านทิศตะวันตก มีปราสาททิพย์อยู่บนยอดเขายุคนธรทางด้านตะวันตก มีพาหนะเป็นช้างทิพย์ชื่อ โสมนัส เหล่านาคจะคอยขับกล่อมบำเรอด้วยดนตรีทิพย์อยู่ตลอดเวลา พระโอรสมีมากถึง 91 องค์

ในตำนานของชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ

นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิต ทั้งปวง พญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือ ไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่างๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย

ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลก ขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง

ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช

ลักษณะของ พญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม
ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ
พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้

พญา นาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย

พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

พญา นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

พญา นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

พญา นาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ
จะ เห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี
* พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถ แปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
* พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
* .พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคาย พิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
* พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
* พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ
จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี

เรื่องราวพญานาคโพนพิสัย
ช่วงเทศกาลออกพรรษาของทุกปี โดยเฉพาะคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา ปีใดมีเดือนแปดสองหนจะเลื่อนไปอีก 1 วัน คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำของประเทศสปป.ลาว มหาชนจากทั่วทุกสารทิศจะเดินทางหลั่งไหลมาที่อำเภอโพนพิสัย , กิ่งอำเภอรัตนวาปีและที่แก่งอาฮง หน้าวัดอาฮงศิลาวาส อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย อย่างเนืองแน่นชนิดที่หาที่จอดรถไม่ได้ หรือแทบจะเดินไม่ได้ แต่ปี 2546 ระยะทางจากจังหวัดหนองคายไปอำเภอโพนพิสัย เป็นถนน 4 เลน ประมาณ 12 กิโลเมตรก็จะเป็นการระบายรถได้ทางหนึ่ง

มหาชนเหล่านั้น มาเพื่อที่จะร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟและจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือมาชม ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ซึ่งเป็นลูกไฟมหัศจรรย์ ที่พุ่งขึ้นจากลำน้ำโขง ที่เรียกว่ามหัศจรรย์นั้น เพราะยังเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมจึงเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แม้ว่าวันออกพรรษาของแต่ละปีจะคลาดเคลื่อนไปไม่ตรงกับวันเดิม “บั้งไฟพญานาค” ก็จะเคลื่อนไปตามวันออกพรรษาของปีนั้น ๆ และทำไมถึงต้องเกิดขึ้น และเกิดขึ้นเฉพาะที่บริเวณอำเภอโพนพิสัย บริเวณกิ่งอำเภอรัตนวาปี และบริเวณบ้านอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ เท่านั้น บั้งไฟพญานาคเป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นสู่อากาศแก้วก็หายไป เกิดขึ้นทั้งกลางแม่น้ำโขงและบริเวณใกล้ ๆ ฝั่ง ขึ้นสูงประมาณ 30-50 เมตร บางแห่งขึ้นสูงเป็น 100 เมตร ขนาดของลูกไฟที่เกิดขึ้นนั้น มีขนาดโตเท่าผลส้ม ขนาดกลางเท่าไข่ไก่ ขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ เวลาที่เกิดไม่แน่นอนแต่ต้องมืดค่ำก่อนจึงจะเกิด บางปีเกิดตั้งแต่หัวค่ำ เวลา 18.00 น. ) บางปีเกิดในเวลาตั้งแต่ 3-4 ทุ่ม เกิดจนไปถึงเวลาเที่ยงคืน ถึง 02.00 น. จำนวนที่เกิดขึ้นนั้น จำนวนไม่เท่ากัน บางแห่งเกิดขึ้นเพียง 1 ลูก บางแห่งเกิดขึ้น 20 ลูก หรือบางแห่งก็เกิด 50-100 ลูก หรือมีมากกว่านั้น สถานที่เกิดส่วนมากจะเป็นลำแม่น้ำโขง แต่ก็มีบ้างเกิดขึ้นในห้วยหนองที่อยู่ใกล้ กับแม่น้ำโขงและอยู่ในท้องที่อำเภอโพนพิสัย อำเภอปากคาด กิ่งอำเภอรัตนวาปี บริเวณบ้านอาฮง (วัดอาฮง) อำเภอบึงกาฬ อ.ศรีเชียงใหม่ (วัดหินหมากเป้ง) บ้านผาตั้ง อ.สังคม เกิดขึ้นเป็นบางส่วน

ลักษณะการพุ่ง ขึ้นจากน้ำ ถ้าอยู่ใกล้ฝั่งพอขึ้นสูงจะเฉเข้าหาฝั่งมากกว่าเฉออกนอกฝั่ง วิ่งเร็วช้าไม่เท่ากัน ถ้าอยู่ใกล้ฝั่งจะช้า ถ้าเกิดอยู่กลางน้ำจะเร็ว ลักษณะของลูกไฟไม่เหมือนกัน ถ้าเกิดอยู่บริเวณอำเภอโพนพิสัยจะเป็นสีแดงอมชมพู ถ้าเกิดขึ้นที่แก่งอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ จะเป็นสีเขียวจนเห็นได้ชัด ลูกไฟที่พุ่งขึ้นเมื่อสูงสุดแล้วจะหายไปเฉย ๆ ไม่มีการตกลงมาให้เห็น ลูกไฟที่เกิดขึ้นไม่มีเสียง ไม่มีเปลวเหมือนลูกไฟทั่ว ๆ ไป ไม่มีควัน

บริเวณ ที่พบคือ แม่น้ำโขงบริเวณวัดไทย เขตสุขาภิบาลโพนพิสัย บริเวณวัดจุมพล เขตสุขาภิบาลบริเวณปากห้วยหลวง ที่แม่น้ำห้วยหลวงไหลลงสู่แม่น้ำโขง บริเวณวัดหลวง บริเวณบ้านจอมนาง และที่หนองสรวง ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ปากน้ำห้วยเป บ้านน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนวาปี บริเวณตลิ่งวัดบ้านหนองกุ้ง กิ่งอำเภอรัตนวาปี หนองต้อน ตำบลบ้านต้อน ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโพนพิสัย และที่บริเวณแก่งอาฮง บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.บึงกาฬ บริเวณนน้ำจะเป็นลูกไฟสีเขียวมรกต

แม่น้ำโขงที่มีความยาวกว่า 4,000 กิโลเมตร ซึ่งเริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศจีน ไหลผ่านพม่า ไทย ลาว กัมพูลา และเวียดนาม ประชาชนที่อยู่อาศัยอยู่ตามสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงไทย-ลาว ต่างก็มใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรม การบริโภค เลี้ยงสัตว์ การคมนาคม การประกอบพิธีกรรมทางน้ำ ตลอดจนถึงการพักผ่อนหย่อนใจ ประชาชนไทยลาว ต่างก็มีความสัมพันธ์กันมานาน ในปีหนึ่ง ๆ จะมีผู้เสียชีวิตในลำน้ำโขงปีละไม่น้อย พวกที่เสียชีวิตในลำน้ำโขง คนเฒ่าคนแก่เชื่อว่าเป็นการกระทำของเทพเจ้าทางน้ำ (ชาวบ้านเรียกกันว่าเงือก) เทพเจ้าทางน้ำที่ชาวบ้านลุ่มแม่น้ำโขงนับถือก็คือ “เจ้าแม่สองนาง” (งู 1 คู่) งู เงือก และพญานาค เป็นสิ่งเดียวกันสุดแต่ว่าใครจะเรียก

เพื่อ เป็นการเซ่นไหว้และลดการเสียชีวิตของผู้ประกอบการทางน้ำ จึงปรากฏเห็นศาลเจ้าแม่สองนางตามแถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสองฟากฝั่ง เช่น ศาลเจ้าแม่สองนาง ที่วัดหายโศก อำเภอเมืองหนองคาย ศาลเจ้าแม่สองนางที่ปากห้วยหลวง, ศาลเจ้าแม่สองนางที่บ้านจอมนาง อำเภอโพนพิสัย ศาลเจ้าแม่สองนางที่หน้าโรงพยาบาล อ.บึงกาฬ ในรอบปีจะมีพิธีบวงสรวงเจ้าแม่สองนางเพื่อให้เจ้าแม่ปกป้องคุ้มครองไม่ให้ ประสบภัยอันตรายและเกิดสิริมงคลแก่ผู้ประกอบการทางน้ำ

พญานาค งู เงือก คือเทพเจ้าทางน้ำ เป็นความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น จริงเท็จอย่างไรนั้นยากแก่การพิสูจน์ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวัน แรม 1 ค่ำ เดือน 11 พี่น้องที่อาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำโขง บริเวณตั้งแต่บ้านวัดหลวง เขต สุขาภิบาลโพนพิสัย ตลอดจนผู้ที่อาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำโขงตามสถานที่กล่าวมานี้เรียกกันติดปากมา แต่ตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ว่า “บั้งไฟพญานาค” หรือ “บั้งไฟผี”

ความ เป็นมานั้นจากการเล่ายองคนเฒ่าคนแก่บอกว่าสมัยที่เป็นหนุ่มสาว ผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่าในคืนวันเพ็ญเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ เมื่อนั่งเรือออกไปหาปลากลางแม่น้ำโขงจะเกิดมีลูกไฟขึ้นรอบ ๆ เรือเป็นจำนวนมาก จนเกิดความกลับต้องพายเรือเข้าหาฝั่งและจะเกิดขึ้นเฉพาะในคืนดังกล่าวเท่า นั้น ต่อมาทางอำเภอโดนพิสัยได้จัดงานไหลเรือไฟ และชมบั้งไฟพญานาค มีการประชาสัมพันธ์กัน ประชาชนจากทั่วสารทิศ ได้มากันมาดูบั้งไฟพญานาคอสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บางคนก็มาด้วยการอยากรู้เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตนเอง ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้ที่มาดผิดหวัง
คนที่มาดูจากทั่วสารทิศ เมื่อเห็นกับตาตัวเองก็ยังไม่แน่ใจคิดว่าจะต้องมีคนทำขึ้นเองบ้าง ความคิดจึงได้แตกต่างกันออกไปแต่ก็พอแยกได้คือ

1. กลุ่มคนรุ่นใหม่คือพวกหัววิทยาศาสตร์ ซึ่งก็มีความเชื่อว่าลูกไฟที่พุ่งขึ้นมานั้นเป็นการรวมตัวกันของก๊าซหรือแร่ ธาตุ เมื่อรวมตัวกันแล้วถูกแรงอัดพุ่งขึ้นเหนือน้ำทำให้เกิดปาฏิกิริยากับยอากาศ แล้วเกิดแสงสว่างขึ้น แต่ก็มีผู้แย้งว่า ทำไมต้องมาเกิดเฉพาะวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เท่านั้น

2. กลุ่มไม่แสดงความคิดเห็น ดูแล้วเห็นว่ามีลูกไฟขึ้นมาจากลำแม่น้ำโขง

3. กลุ่มหัวโบราณ มีความเชื่อว่าลำแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่ของพวกนาค ซึ่งเป็นเทพพวกหนึ่ง สามารถแปลงกายเป็นงูหรือคนได้ ลำน้ำโขงบริเวณอำเภอโพนพิสัย เป็นภพหรือเมืองหน้าด่านที่เป็นทางขึ้นสู่เมืองมนุษย์ของเหล่าพญานาค ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากดวงดึงส์มาสู่โลกมนุษย์ในวันรุ่งขึ้น เพื่อเป็นการต้อนรับพระพุทธองค์ บรรดาพญานาคที่อยู่ตามลำแม่น้ำโขงจึงทำบั้งไฟถวายเป็นพุทธลูกไฟ พุ่งขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง จึงเรียนกันว่า “บั้งไฟพญานาค” ตามบริเวณเขตอำเภอโพนพิสัย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองหน้าด่านและโดยเฉพาะที่บริเวณวัดไทย ลานวัดจะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ มีคนฝันเห็นเรือขนาดใหญ่ขวางอยู่ลานวัด ลูกไฟที่เกิดขึ้นบริเวณนี้จะเป็นสีแดงอมชมพู จากอำเภอโพนพิสัยถึงบ้านน้ำเป จะเป็นเมืองน้อยใหญ่ก่อนจะถึงตัวเมืองคือที่บ้านอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ

ที่ สำคัญคนยังรู้ไม่มากก็คือ ตลอดลำน้ำโขง ระยะความยาว 4,000 กิโลเมตรนี้ ตรงที่ลึกที่สุดที่เรียกว่า “สะดือแม่น้ำโขง” ขณะนั้นอยู่ที่แก่งอาฮง คนเฒ่าคนแก่เคยวัดโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินหย่อนลงไปวัดได้ 98 วา และตรงนั้นจะเป็นแอ่งขนาดใหญ่น้ำไหลวน เมื่อหน้าแล้งจะเห็นได้ชัดเจนมาก ตรงที่ลึกที่สุดยังมีถ้ำขนาดใหญ่ ถ้าน้ำจะไปทะลุถึงที่ฝั่งลาวด้านหลังภูงูในประเทศลาว


นอก จากนี้แก่งอาฮงจะเป็นที่ลึกสุดของแม่น้ำโขงแล้ว ยังเป็นภพหรือเมืองหลวงของพญานาค บางวันคนเฒ่าคนแก่บอกว่าระหว่างแก่งอาฮงจะมีลักษณะ เหมือนงูขนาดใหญ่ว่ายข้ามมาจากฝั่งไทยไปยังฝั่งลาว ในลักษณะตรง น้ำแตกเป็นฟอง ถ้าหากไปดูบริเวณริมฝั่งโขงจะเห็นรอยพญานาคปรากฏอยู่ ฝรั่งตรงข้ามกับแก่งอาฮงจะมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์อยู่องค์หนึ่งริมแม่น้ำโขง และในวันขึ้น 15 ค่ำ จะมีเหล่าวิญญาณต่าง ๆ มาทำเสียงไม่เหมือนเสียงมนุษย์มาชุมนุมกันทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เรื่องนี้หากถามผู้เฒ่าผู้แก่ท่านก็จะพูดให้ฟังได้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้น ทุก ๆ ปี ตลอดเป็นที่รวมของเหล่าวิญญาณต่าง ๆ ด้วย

จากการบอกเล่าของพ่อเฒ่า อุ่นหล้า อัศศมนตรี อายุ 91 ปี อยู่บ้านเลขที่ 435 คุ้มวัดศรีคุณเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในสมัยหนุ่ม ๆ เป็นนายท้ายเรือที่ล่องเรือไปมาระหว่างหนองคาย-บึงกาฬ เมื่อถึงฤดูน้ำเต็มตลิ่ง เมื่อผ่านมาถึงแก่งอาฮง บริเวณที่เรียกว่า “สะดือแม่น้ำโขง” จะเห็นสิ่งประหลาดมองห่างจากเรือประมาณ 1 กิโลเมตร มีต้นตาลขนาดใหญ่ ไม่มีใบโผล่ขึ้นมาจากน้ำราว ๆ 2 เมตร มีละอองน้ำเป็นฝอย ๆ รอบ ๆ ต้นตาลสีดำมัน แต่เมื่อเดินเรือเข้าไปใกล้ ๆ จะไม่มีอะไร ทำให้ผู้คนที่เดินทางตามลำน้ำ เมื่อผ่านบริเวณนี้ก็จะนำพวกหมากพลู เหล้าขาว โยนลงไปในน้ำเพื่อเป็นการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง บริเวณแก่งอาฮงมีความประหลาดอีกประการคือ ศพจะไหลไม่พ้นแก่งอาฮง เมื่อมีคนหรือศพตกลงในแม่น้ำโขงเหนือแก่งอาฮงไม่ว่าที่ใด ถ้าหาศพไม่พบจะหาพบได้ที่นี่ คือแก่งอาฮง

สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำโขงที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” หรือรอยประหลาดที่เกิดขึ้นบนหน้ารถของชาวบ้านที่จอดหน้าวัดไทย อำเภอโพนพิสัย ถึง 5 ครั้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เพื่อแสดงให้เห็นว่าพญานาคนั้นมีจริง เนื่องจากไม่มีคนเชื่อ จึงเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ให้เห็น ซึ่งรอดประหลาดนี้มีคนเชื่อว่าเป็นรอยพญานาค

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่จะต้องหาทางพิสูจน์ต่อไป ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร เชื่ออย่างไร แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 คือวันออกพรรษาหากใครไม่เชื่อก็ไปพิสูจน์ด้วยตนเองได้ ไม่ว่าจะเห็นที่บริเวณอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี และบริเวณแก่งอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
จะได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิต ทั้งปวง พญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่างๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย

ตาม ความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลก ขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง

ใน ตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช

ที่ เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

แม้เกี่ยวกับชีวิต มนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

นาคให้น้ำ

พญา นาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา
เกี่ยวข้องกับคนไทย

เรา มักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค

พญานาคกับตำนานในพระพุทธศาสนา
ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า

ความ เชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา

พญา นาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง

จุดที่เกิดบั้งไฟพญานาค

ในเขตอำเภอสังคม บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม , อ่างปลาบึก บ้านผาตั้ง อำเภอสังคม
ในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่ วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท
ในเขตอำเภอเมือง บ้านหินโงม ตำบลหินโงม อำเภอเมือง , หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ตำลบบ้านเดื่อ อำเภอ เมือง หนองคาย
ใน เขตอำเภอโพนพิสัย ปากห้วยหลวง ตำบลห้วยหลวง อำเภอโพนพิสัย , ในเขตเทศบาลตำบลจุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย, หนองสรวง อำเภอโพนพิสัย , เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย , บ้านหนองกุ้ง ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย
ในเขตกิ่งอำเภอรัตนวาปี ปากห้วยเป บ้านน้ำเป ตำบลน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนวาปีบ้านท่าม่วง ,วัดเปงจาเหนือ กิ่งอำเภอรัตนวาปี
ในเขตอำเภอปากคาด บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อำเภอปากคาด
ในเขตอำเภอบึงกาฬ วัดอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ

ที่ อื่นๆ นอกจาก 14 แห่งนี้ที่อื่นก็อาจจะมีขึ้นบ้าง นอกจากในลำน้ำน้ำโขงแล้วตามห้วย หนองคลองบึง สระน้ำ กลางทุ่งนาที่มีน้ำขัง แม้แต่บ่อบาดาลที่ชาวบ้านขุดเพื่อเอาน้ำมาใช้ ในเขตจังหวัดหนองคาย ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์

ปี 2542 เกิดมากที่สุด ที่ชายตลิ่ง หน้าสถานี ตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ห่างจาก อ.เมือง หนองคาย เพียง 15กม

พญานาคกับตำนานปรัมปราของไทย

เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย

มี การเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี
เมืองพญานาค หรือเมืองบาดาล

ใน เมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล (เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเห็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย


พระพุทธเจ้าเสด็จเทวโลก

ครั้ง หนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน 500 รูป เพื่อเสด็จไปยังเทวโลก ได้ผ่านวิมานของเหล่าพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน ที่มี นันโทปนันทนาคราช เป็นประธานใหญ่ เมื่อเห็นคณะสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่ พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง 7 รอบ แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้ และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จนพระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต

ดังนั้น พระโมคคัลลานะ จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอานาคนันโทปะนันทะนาคราช เอาไว้ด้วยขดถึง 14 รอบ นาคราชทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น พระโมคคัลลานะ ก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน ไฟของนันโทปะนันทะนาคราชสู่ไม่ไหว จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใคร" ตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต" นันโทปะนันทะนาคราช จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช เป็นคนไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่างๆ จน นันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหว และนันโทปะนันทะนาคราช สู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะ จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่ โดยดี


ใต้เมืองโพนพิสัย

ลักษณะ ของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพน พิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักน้ำเพื่อไปดื่ม โดยมีกระป๋องน้ำ(หาบครุ)ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ(น้ำริน)เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่กระป๋องน้ำ (หาบครุ) พ่อ แม่ ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบ จนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว และคิดว่าลูกสาวคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้อง ชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช

จน เวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืน ลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตาย ก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนีเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้า สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า "วันนั้นอากาศร้อนมาก น้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำ เมื่อวางกระป๋องน้ำ(หาบครุ) ปรากฏว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา

เมื่อ ลืมตาขึ้นปรากฏว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่ แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศีรษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อยๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฏว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนสีขุ่นๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่า นี่เป็นเมืองบาดาล และเป็นเมืองหน้าด่าน ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงานสมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือน ที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชา พระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อยๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"

จาก การเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)


พญานาคกับสัญลักษณ์ของวิชาแพทย์

พญา นาค หมายถึง วิชาแพทย์ ที่พระวิศวามิตร์เล่าไว้ในบ่อเกิดรามเกียรติ์ว่า เทวดาและอสูรต้องการเป็นอมตะ จึงทำพิธีกวนเกษียรสมุทร โดยใช้เขามนทรคีรีเป็นไม้กวน นำพญาวาสุกรี (พญานาค) เป็นเชือก เป็นผลให้เกิดประถมแพทย์ “ ธันวันตะรี ” ผู้ชำนาญในอายุรเวท

ปลาฉลามขาว

ปลาฉลามขาวปลาฉลามขาว (อังกฤษGreat white shark) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง มีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ พบได้ตามเขตชายฝั่งแถบทะเลใหญ่ มีความยาวประมาณ 6 เมตร น้ำหนักประมาณ 2250 กิโลกรัม ทำให้ปลาฉลามขาวเป็นปลานักล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์เดียวในสกุล Carcharodon ที่ยังเหลืออยู่

วิวัฒนาการ

ภาพปลาฉลามขาวบนผิวน้ำ
ปลาฉลามขาวมีความสามารถคล้ายกับปลาฉลามสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีอวัยวะรับสัมผัสพิเศษ ที่สามารถตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่แผ่ออกมาจากปลาที่มีชีวิต ที่เคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ ทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำ จะสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา และปลาฉลามขาวมีสัมผัสไวเป็นพิเศษ ที่สามารถตรวจจับได้แม้มีความแรงเพียง 1/1000,000,000 โวลท์ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับสามารถตรวจจับแสงแฟลชได้ในระยะ 1600 กิโลเมตร ปลาชนิดอื่นๆ ส่วนมากไม่มีพัฒนาการถึงระดับนี้ แต่มีความสามารถที่คล้ายๆ กันนี้ ที่ลายด้านข้างลำตัว
การที่ปลาฉลามขาวจะประสบความสำเร็จในการล่าเหยื่อ ที่มีความว่องไวสูงอย่างสิงโตทะเล สัตว์เลือดเย็น อย่างปลาฉลามขาวได้พัฒนา ระบบรักษาความร้อนภายในร่างกาย ให้สามารถรักษาอุณหภูมิให้สูงกว่าอุณหภูมิของน้ำภายนอกได้ โดยใช้ Rete mirabile ซึ่งเส้นใยเส้นเลือด ที่มีอยู่รอบตัวของปลาฉลามขาวนี้ จะรักษาความร้อนของเลือดแดงที่เย็นตัวลง ด้วยเลือดดำที่อุ่นกว่าจากการใช้พลังงานของกล้ามเนื้อ ความสามารถนี้ทำให้ปลาฉลามขาวรักษาระดับอุณหภูมิในตัว สูงกว่าอุณหภูมิน้ำทะเลรอบตัวประมาณ 14ํC (เมื่อล่าในเขตหนาวจัด) โดยที่หัวใจและเหงือกยังคงอยู่ที่อุณหภูมิของระดับน้ำทะเล
ปลาฉลามขาวสามารถอดอาหารได้นานราว 1 สัปดาห์โดยที่ช่วงนั้นไม่ต้องกินอะไร อุณหภูมิของร่างกายส่วนใหญ่ สามารถลดต่ำลงจนเท่ากับอุณหภูมิของระดับน้ำทะเล อย่างไรก็ตาม ก็ยังจัดว่าปลาฉลามขาวป็นสัตว์เลือดเย็นอยู่ดี เพราะว่าอุณหภูมิของร่างกายไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ

[แก้]ขนาด

ปลาฉลามขาวตัวเต็มวัย จะมีขนาดประมาณ 4-4.8 เมตร หนักประมาณ 880-1100 กิโลกรัม ตัวเมียมักจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ขนาดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ ยังเป็นที่สงสัยอยู่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้พยายามรวบรวมข้อมูลเท่าทีมี แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ ทุกวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ขนาดตัวปกติของปลาฉลามขาวที่โตเต็มที่ จะอยู่ราวๆ 6 เมตร หนักประมาณ 1900 กิโลกรัม ในช่วง 10 ปีนี้ กินเนสบุ๊ค ออฟ เวิลด์เรคคอร์ด(Guinness Book of World Records) ได้บันทึกปลาฉลามขาวที่ตัวใหญ่ที่สุดไว้ได้ 2 ตัวซึ่งตัวหนึ่งยาว 11 เมตรจับได้ที่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ใกล้กับพอท แฟร์รี่ (Port Fairy) ในปี 1870 และอีกตัวหนึ่ง ยาว 11.3 เมตร ติดอวนชาวประมงที่เมือง New Brunswick ประเทศแคนาดาในปี 1930
จากข้อมูลนี้เอง จึงนำมาประเมินขนาดมาตรฐานของ ปลาฉลามขาวปกติที่โตเต็มวัย นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้ตั้งคำถาม เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือในการวัทั้งสองครั้งนั้น ซึ่งไม่มีบันทึกใด มีขนาดที่ใกล้เคียงกับ 2 กรณีที่พบนี้เลย ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา จึงมีข้อสงสัยที่ว่า การบันทึกที่เมือง New Brunswick อาจเป็นการบันทึกที่มีการเข้าใจผิดในสายพันธุ์ ซึ่งสงสัยว่าน่าจะเป็นปลาฉลามสายพันธุ์อื่น (Basking shark) มากกว่า และทั้งสองตัวที่ถูกบันทึกก่อนหน้านี้ ก็มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ข้อสงสัยนี้ด้รับการพิสูจน์โดย เจ.อี. โรนัลด์ (J.E. Reynolds) การประเมินขนาดด้วยกราม ซึ่งหลักฐานที่เหลือจากค้นพบครั้งนั้นคือ กระดูกกรามที่เก็บรักษาไว้ ซึ่งผลการประเมินคาดว่าขนาดของฉลามที่พบใน พอท เฟอร์รี่ น่าจะยาวประมาณ 5 เมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าจะมีการบันทึกขนาดผิดพลาด ในบันทึกต้นฉบับ

[แก้]ถิ่นที่อยู่อาศัย

ภาพปลาฉลามขาว
ปลาฉลามขาวอาศัยอยู่ตามแถบทะเลชายฝั่งเกือบทั่วทุกมุมโลก ที่มีอุณหภูมิระหว่าง 12ํC - 24ํC แต่จะอาศัยอยู่หนาแน่นบริเวณอ่าวประเทศออสเตรเลีย ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา แคลิฟอเนีย และตอนกลางของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ที่หนึ่งที่หนาแน่นที่สุดอยู่ที่ ไดร์เออร์ ไอร์แลนด์ (Dyer Island, South Africa) ที่แอฟริกาใต้ ทั้งยังสามารพบได้ในเขตร้อนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ปลาฉลามขาวเป็นปลาน้ำลึก แต่ที่บันทึกจำนวน ส่วนมากจะมาจากการสำรวจแถบทะเลชายฝั่ง บริเวณที่มีสิงโตทะเล แมวน้ำ โลมาอาศัยอยู่ ได้มีความพยายามที่จะสำรวจในบริเวณน้ำลึก ถึงระดับ 1280 เมตร ผลปรากฏว่าจะพบมากบริเวณผิวน้ำมากกว่า

[แก้]พฤติกรรมการล่า

ภาพปลาฉลามขาวบนผิวน้ำ
ปลาฉลามขาวเป็นสัตว์กินเนื้อ เหยื่อที่มันเลือกจะล่ามีปลา (รวมทั้งปลากระเบนและฉลามที่ตัวเล็กกว่า) ปลาโลมา แมวน้ำ สิงโตทะเล เต่าทะเล และเต่าตะหนุ ทั้งยังมีชื่อในเรื่องกินไม่เลือก แม้กระทั่งของที่กินไม่ได้ ปลาฉลามขาวที่ยาวประมาณ 3.4 เมตร จะเลือกเหยื่อที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลาม ปีเตอร์ คลิมลี (Peter Klimley) ได้ทำการทดสอบโดยใช้เหยื่อเป็นซากแมวน้ำ หมูและแกะ ผลปรากฏว่าฉลามจู่โจมทุกครั้ง แต่กลับปฏิเสธซากเหยื่อที่ทั้ง 3 ชนิดที่ให้พลังงานน้อยกว่า ยังมีข้อถกเถียงว่าระหว่างปลาฉลามขาวกับวาฬเพชฌฆาต ว่าตัวไหนจู่โจมมนุษย์มากกว่ากัน
ปลาฉลามขาวจะใช้สัมผัสพิเศษในการหาตำแหน่งเหยื่อจากระยะไกล และใช้สัมผัสในด้านการดมกลิ่น และการฟังเพื่อยืนยันตำแหน่งอีกที ในระยะประชิดฉลามจะใช้สายตาเป็นหลัก ปลาฉลามขาวมีชื่อเสียงในเรื่องเป็นนักล่าที่โหดร้าย เป็นเครื่องจักรสังหาร และมีเทคนิคในการซุ่มโจมตี โดยจู่โจมเหยื่อจากด้านล่าง จากการศึกษาพฤติกรรมพบว่า ปลาฉลามขาวจะจู่โจมบ่อยครั้งในช่วงตอนเช้า ภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามีการพบเห็นปลาฉลามขาวน้อยลง หลังจากผ่านช่วงเวลานั้นไป อัตราความสำเร็จในการล่าช่วงเช้าอยู่ที่ 55% ในช่วง 2 ชั่วโมงแรก แล้วตกลงเหลือ 40% ในช่วงต่อมา หลังจากพ้นช่วงเช้าไปแล้วก็จะหยุดล่า
เทคนิคการล่าของปลาฉลามขาวแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของเหยื่อ ในการล่าแมวน้ำปลาฉลามขาวจะจู่โจมแมวน้ำจากด้านล่างด้วยความเร็วสูง เล็งตรงกลางลำตัว ซึ่งความเร็วในการจู่โจมจะสูง จนกระทั่งฉลามกระโจนขึ้นเหนือผิวน้ำได้ และยังจะตามล่าต่อหลังจากที่จู่โจมครั้งแรกพลาดเป้าอีกด้วย สำหรับแมวน้ำบางชนิดปลาฉลามขาวจะใช้วิธีลากลงมาใต้น้ำ จนกระทั่งแมวน้ำหมดแรงดิ้น สำหรับสิงโตทะเลจะใช้วิธีจู่โจมที่ลำตัว แลวค่อยๆ ลากมากิน ทั้งยังมีวิธีกัดส่วนสำคัญที่ใช้ในการเคลื่อนไหว แล้วรอให้เลือดไหลจนตายอีกด้วย ซึ่งวิธีนี้ใช้จู่โจมแมวน้ำบางชนิด ส่วนในการล่าโลมา ปลาฉลามขาวจะจู่โจมจากด้านบน หรือด้านล่างเพื่อหลบหลีกการตรวจจับด้วยโซนาร์ของโลมา

[แก้]พฤติกรรมทั่วไป

ภาพปลาฉลามขาวเหนือผิวน้ำ ที่บริเวณประเทศเม็กซิโก
พฤติกรรมและรูปแบบสังคมของปลาฉลามขาวยังไม่เป็นที่แน่ชัด จากการทดลองล่าสุดพบว่า ปลาฉลามขาวเป็นสัตว์สังคมมากกว่าที่เราคาด ที่แอฟริกาใต้ ปลาฉลามขาวจะเหมือนมีลำดับชั้นทางสังคม ขึ้นอยู่กับขนาด เพศ และตำแหน่งจ่าฝูง ตัวเมียจะมีอำนาจมากกว่า ตัวผู้ตัวใหญ่กว่าจะมีอำนาจมากกว่าตัวเล็กกว่า เจ้าถิ่นจะมีอำนาจมากกว่าผู้มาเยือน เมื่อมีการล่าจะสั่งการกันอย่างเป็นระบบ และเมื่อมีความขัดแย้งก็จะมีวิธีการ เพื่อหาทางออก แทนที่จะสู้กันถึงตาย ฉลามที่สู้กันเองพบเห็นน้อยมาก แต่บางครั้งก็พบฉลามตัว ที่มีรอยกัดซึ่งเป็นขนาดรอยฟันฉลามตัวอื่น ทำให้สันนิษฐานได้ว่าปลาฉลามขาวเป็นสัตว์ที่หวงแหนอานาเขต เมื่อมีผู้รุกราน ก็จะทำการเตือนด้วยการกัดเบาๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นเจ้าของอาณาเขต
ปลาฉลามขาวเป็นฉลามไม่กี่สายพันธุ์ ที่พบว่าสามารถโผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำและมองหาเหยื่อได้ และยังสามารถกระโจนขึ้นเหนือน้ำได้ (spy-hopping) มีข้อสงสัยว่าพฤติกรรมนี้ อาจเป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้มาจากมนุษย์ เพราะว่าฉลามมีประสาทรับรู้กลิ่นที่ไวมาก เมื่อปลาฉลามขาวพบกับนักท่องเที่ยวที่มีกลิ่นตัวแรง มันก็มีความอยากรู้อยากเห็น และแสดงความฉลาดของมันออกมา เมื่อสถานการณ์อำนวย
ฉลามขาวมีจมูกที่ไวต่อกลิ่นเลือดเป็นอย่างมาก เพราะฉลามขาวสามารถได้กลิ่นเลือดเพียง1หยดที่อยู่ไกลออกไปถึง 3 กิโลเมตร

[แก้]ปลาฉลามขาวกับมนุษย์

ภาพปลาฉลามขาวใต้น้ำ
เรื่องของปลาฉลามขาวจู่โจมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันมากผ่านทางภาพยนตร์ อย่างเช่นเรื่อง จอร์ (Jaws) ผลงานของสตีเว่น สปิวเบอร์ก (Steven Spielberg) แสดงให้เห็นถึงภาพฉลามที่โหดร้าย กินคน และเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับมนุษย์ ให้ฝังในใจของผู้ชม ซึ่งอันที่จริงแล้วมนุษย์ไม่ใช่เหยื่อของฉลามตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีรายงานยืนยันฉลามจู่โจมมนุษย์เพียง 31 รายในรอบ 200 ปี และเป็นส่วนน้อยที่เสียชีวิต กรณีที่เสียชีวิตจะเป็นกรณีที่ฉลามลองกัดดูมากกว่า เพราะอยากรู้อยากเห็น ปลาฉลามขาวยังลองกัดพวกสิ่งของอื่นๆ เช่น ทุ่นลอยน้ำ และของที่มันไม่คุ้นเคยอื่นๆ และบางครั้งก็จะใช้เพียงริมฝีปากกัดโดนนักเล่นเซิร์ฟ เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่
ในกรณีอื่นๆ อาจเกิดขึ้นมาจากความเข้าใจผิด ที่จู่โจมนักเล่นเซิร์ฟจากด้านล่างเพราะเห็นเพียงเงา ดูแล้วคล้ายกับแมวน้ำ หลายกรณีเกิดขึ้นในช่วงที่ทัศนะวิสัย ไม่เอื่ออำนวยกับการมองเห็น และในกรณีที่ประสาทสัมผัสด้านอื่นมีประสิทธิภาพลดลง หรืออาจเป็นเพราะว่า สายพันธุ์ของปลาฉลามขาวไม่ค่อยถูกปากกับรสชาติของมนุษย์ หรือรสชาติไม่ค่อยคุ้นเคย
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎีที่ว่า ทำไมอัตราการจู่โจมมนุษย์ที่ร้ายแรงถึงต่ำ มันไม่ใช่เพราะว่าปลาฉลามขาวไม่ชอบเนื้อมนุษย์ แต่เป็นเพราะมนุษย์สามารถหนีขึ้นจากน้ำได้ หลังจากถูกจู่โจมครั้งแรก ในปี 1980 มีรายงานของ จอห์น แม็คคอสเกอร์ (John McCosker) บันทึกไว้ว่า นักดำน้ำที่ดำเดี่ยวคนหนึ่ง ถูกปลาฉลามขาวจู่โจมจนสูญเสียอวัยวะบางส่วนไป แต่ยังว่ายน้ำหนีมาจนได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ให้ขึ้นมาจากน้ำได้ ก่อนที่จะถูกปลาฉลามขาวเผด็จศึก จึงสันนิษฐานได้ว่ารูปแบบการจู่โจมของปลาฉลามขาว คือ จู่โจมสร้างบาดแผลสาหัสก่อนในครั้งแรก แล้วรอให้เหยื่อหมดแรงหรือเสียเลือดจนตาย แล้วค่อยเข้าไปกิน แต่มนุษย์สามารถขึ้นจากน้ำได้ (อาจหนีขึ้นเรือ) ด้วยความช่วยเหลือของคนอื่น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเหยื่อของปลาฉลามขาว ทำให้การจู่โจมครั้งนั้นล้มเหลวไป
อีกสันนิษฐานหนึ่งก็คือ มนุษย์ไม่มีคุณค่าทางอาหารมากพอสำหรับปลาฉลามขาว เพราะว่าปลาฉลามขาวมีระบบการย่อยที่ค่อยข้างช้า และร่างกายของมนุษย์มีกระดูก กล้ามเนื้อและไขมันมากเกินไป ส่วนใหญ่ปลาฉลามขาวจะเป็นฝ่ายหมดความสนใจ มนุษย์ที่ถูกโจมตีครั้งแรกก่อนเอง และเหตุที่มนุษย์สียชีวิต ก็เพราะสูญเสียเลือดมากเกินไปจากการสูญเสียอวัยวะบางส่วน มากกว่าที่จะเป็นการสูญเสียอวัยวะสำคัญ หรือถูกกินทั้งตัว
นักชีววิทยาบางคนให้ความเห็นว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากถูกปลาฉลามขาวจู่โจมในรอบ 100 ปี มีน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่ถูกสุนัขกัดเสียอีก แต่ความเห็นนี้ยังไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะว่ามนุษย์มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสุนัขมากกว่าปลาฉลามขาว จึงมีโอกาสมากกว่าเมื่อเทียบกับฉลาม มนุษย์ได้มีความพยายามที่จะประดิษฐ์ชุดป้องกันฉลาม แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการป้องกันปลาฉลามขาว คือ อิเล็กทรอนิค บีคอน (electronic beacon) ซึ่งนักประดาน้ำและนักเล่นเซิร์ฟจะใช้กัน โดยมันจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปรบกวนสัมผัสพิเศษของปลาฉลามขาว

[แก้]ทัวร์ปลาฉลามขาว

การล่อปลาฉลามขาว
การดำน้ำในกรง กลายเป็นธุรกิจทัวร์ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ที่ต้องการความตื่นเต้นแบบใหม่ และผู้ที่ต้องการศึกษาปลาฉลามขาวอย่างใกล้ชิด ผู้มาชมปลาฉลามขาว จะอยู่ในกรงที่มั่นคงแข็งแรง ซึ่งจะเป็นจุดที่เห็นปลาฉลามขาวได้ชัดเจนที่สุด โดยที่ยังปลอดภัยอยู่ และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่าที่ตัวใหญ่ และดุร้ายอย่างปลาฉลามขาว ย่อมเป็นสถานการณ์ที่ทำให้อดรีนาลีนฉีดพล่านไปทั่วร่างกาย เป็นประสบการณ์ที่น่าค้นหา ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตขึ้นอย่างมาก ในแถบอ่าวของออสเตรเลียที่มีพบปลาฉลามขาวบ่อยครั้ง วิธีการล่อปลาฉลามขาว คือ การใช้เหยื่อที่ชุ่มไปด้วยเลือดไปเป็นเป้าล่อ เรียกความสนใจของปลาฉลามขาว ซึ่งการกระทำดังกล่าว กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก ว่าจำทำให้ปลาฉลามขาวเริ่มคุ้นเคยกับมนุษย์มากขึ้น และจะมีพฤติกรรมเข้าหามนุษย์แลกกับอาหาร ซึ่งจะเป็นสถานการณ์ที่อันตราย มีการกล่าวหาว่า การใช้เหยื่อที่ชุ่มด้วยเลือด ล่อให้ปลาฉลามขาวเข้ามาใกล้กรง อาจเป็นการยั่วโมโหให้ปลาฉลามขาวจู่โจมกรง จึงได้มีการเลี่ยงให้ใช้เหยื่อล่อให้ค่อนข้างห่างกรงออกไป เพื่อที่ปลาฉลามขาวจะได้ว่ายผ่านไปเฉยๆ
บริษัทที่ทำธุรกิจทัวร์ประเภทนี้ กล่าวว่า พวกเขาต้องตกเป็นแพะรับบาป ด้วยเหตุที่ผู้คนพยายามหาเหตุผลใส่ร้าย ว่าทำไมปลาฉลามขาวจึงจู่โจมมนุษย์ และยังบอกอีกว่า มีอัตราคนถูกฟ้าผ่าตาย มากกว่าอัตราคนที่ถูกฉลามเล่นงานเสียอีก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยในประเด็นนี้อย่างจริงจัง และสรุปผลให้ได้ว่าการล่อฉลามแบบนี้ จะทำให้พฤติกรรมของปลาฉลามขาวเปลี่ยนไป ก่อนที่จะออกกฎหมายห้ามการกระทำเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีคำแนะนำให้ผู้ที่ต้องการดำน้ำเพื่อชมปลาฉลามขาว ต้องทำการล่อในเขตที่ปลาฉลามขาวจะออกล่าเหยื่อเท่านั้น และต้องห่างจากเขตของคนทั่วไป ไม่ใช่ล่อให้ฉลามมาหาถึงที่ โดยฉลามที่มาจะเป็นเพียงฉลามที่ต้องการล่าซากที่เหลือเท่านั้น และเมื่อมันไม่ได้รับอาหาร มันก็จะจากไปเอง และจะไม่คิดว่าการล่อแบบนี้จะทำให้มันได้อาหาร เพื่อตัดสายสัมพันธ์ระหว่างคนกับปลาฉลามขาวออกจากกัน ซึ่งนโยบายนี้ได้ถูกนำเสนอไปที่ทางรัฐบาล
ธุรกิจทัวร์ปลาฉลามขาวทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เมื่อเทียบกับการทำประมงที่มีรายได้จำกัด กรามของปลาฉลามขาวคู่เดียว มีค่าถึง 20000 ยูโร เป็นรายได้ที่สูงมากเมื่อเทียบกับการทำประมงต่อวัน อย่างไรก็ตามสัตว์ที่ตายแล้ว ก็ทำได้เพียงเศษเงินเมื่อเทียบกับสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทัวร์ปลาฉลามขาวเป็นธุรกิจที่มั่นคงกว่า และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ตัวอย่าง ของบริษัททัวร์บริษัทหนึ่ง ซึ่งมีเรืออยู่ในสังกัด 6 ลำ เรือแต่ละลำบรรทุกคนได้ราว 30 คนต่อวัน ถ้าคนหนึ่งต้องจ่ายค่าชมราวๆ 50 ยูโรถึง 150 ยูโร ดังนั้นในเวลา 1 วัน บรรดาฉลามที่มาแวะเวียนที่เรือนี้ จะทำกำไรให้พวกเขามากถึง 9000 ยูโรถึง 27000 ยูโรต่อเรือแต่ละลำ
อ้างอิง